Supply ของเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีคืออะไร

Supply ของเหรียญคริปโทฯคือตัวเลขที่แสดงจำนวนเหรียญที่มีในเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเหรียญทั้งหมด จำนวนเหรียญที่มี โดยที่ Supply ทั้งหมดหมายถึงเหรียญคริปโทฯที่ถูกขุดออกมาแล้ว และอยู่ในเครือข่าย โดยได้ถูกนำมา Stake หรือใช้แลกเปลี่ยน

ส่วน Supply สูงสุดมีความหมายตามชื่อ คือจำนวนเหรียญทั้งหมดที่จะสามารถขุดออกมาได้ โดยจำนวน Supply สูงสุดจะขึ้นอยู่กับการวาง Road map ของคริปโทเคอร์เรนซีนั้นๆ บางเหรียญก็มีจำนวนไม่จำกัดบางเหรียญก็มีจำนวนจำกัด มากน้อยแตกต่างกันไป

ส่วน Supply หมุนเวียนคือเหรียญถูกสร้างขึ้นมาบนเครือข่ายและพร้อมที่จะใช้สำหรับการแลกเปลี่ยน ซึ่งแตกต่างจาก Supply ทั้งหมดตรงที่ว่า Supply ทั้งหมดจะรวมถึงเหรียญที่นำไป Stake ไว้อยู่ ซึ่งจะถูกล็อคไว้ ถอนไม่ได้จนถึงเวลาที่กำหนด เป็นเหรียญคริปโทฯที่นอนอยู่นิ่งๆไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนได้

ซึ่ง Supply ประเภทต่างๆนั้นมีความสำคัญสำหรับการประเมินมูลค่า สำหรับดูมูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซี – market capitalization (Supply ทั้งหมด * ราคาของเหรียญ) และสามารถส่งผลกระทบต่อราคาของเหรียญ ( Supply น้อยมีแนวโน้มว่าราคาของเหรียญจะสูง)

แต่เมื่อกลับมามองสกุลเงินที่ถูกออกโดยรัฐ (Fiat currency) ซึ่งถูกควบคุมปริมาณ Supply โดยธนาคารกลาง จะมีความแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลตรงที่ว่าสกุลเงินดิจิทัลจะมีการกำหนดจำนวน Supply ไว้ ซึ่งไม่สามารถลดหรือเพิ่มปริมาณ Supply ได้ตามใจชอบ

การเปลี่ยนแปลงจะต้องได้รับการเห็นชอบจากผู้คนบนเครือข่ายด้วยมติเป็นเอกฉันท์ อย่างเช่น Bitcoin ที่มีจำนวน Supply ทั้งหมดจำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ หรือ ETH ที่มี Supply ไม่จำกัดแต่ถูกกำหนดไว้ให้สร้างได้วันละ 1600 เหรียญเท่านั้น

โดยที่กระบวนการสร้างเหรียญขึ้นมาก็จะแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ระหว่าง Proof of work (PoW) ที่จะมีนักขุดนำคอมพิวเตอร์มาทำหน้าที่ขุดเหรียญ(สร้างเหรียญ) เข้ามาสู่เครือข่าย และ Proof of stake (PoS) ที่จะให้ผู้คนนำเหรียญที่มีมาล็อคไว้เพื่อใช้ในการสร้างเหรียญใหม่ๆขึ้นมาหรือที่เรียกกันว่า staking

 

Supply หมุนเวียนในเครือข่ายคืออะไร

Supply หมุนเวียนคือเหรียญคริปโทฯที่มีการใช้งานหมุนเวียนอยู่ในตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดการแลกเปลี่ยนเสมอไป เพียงแค่เหรียญคริปโทฯนั้นไม่ได้ถูกล็อคไว้สำหรับการ Stake อยู่ เช่น Satoshi Nakamoto ผู้สร้างของ Bitcoin ในช่วงแรกเขาได้ทำการขุด Bitcoin ออกมาสู่ระบบเป็นจำนวนกว่าล้านเหรียญ และเขาก็ไม่ได้ทำการเคลื่อนย้าย BTC ไปไหนเลยแม้ในปัจจุบัน ซึ่ง BTC ของเขาถูกก็นับว่าเป็น Supply หมุนเวียนของ Bitcoin

ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ที่มีจำนวน supply จำกัด การจะเพิ่ม supply หมุนเวียนเข้ามาในเครือข่ายเพิ่มขึ้น จะมาจากการขุด Bitcoin เพียงเท่านั้น และจะมีวิธีการลด supply หมุนเวียนในเครือข่ายที่เรียกว่าการ “Burn เหรียญ” ซึ่งก็คือการทำลายเหรียญ ด้วยการโอนไปยัง wallet ที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ ทำให้เหรียญที่ถูก burn นั้นหายไปตลอดกาล

โดยเหตุผลของการทำลายเหรียญก็คือการลด supply ในเครือข่าย และเมื่อ supply ลดลงแต่ความต้องการความสนใจในคริปโทเคอร์เรนซียังเท่าเดิม จะส่งผลให้ราคาเหรียญเพิ่มขึ้น เป็นไปตามกลไกอุปสงค์อุปทานทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการ burn เหรียญอยู่เป็นประจำคือ BNB ที่จะนำกำไรที่ได้จากการทำ exchange Binance มาซื้อ BNB แล้วเผาทิ้งอยู่เสมอ

 

Supply สูงสุด (maximum) คืออะไร

Supply สูงสุดคือจำนวนเหรียญทั้งหมดที่จะสามารถขุดได้ เช่น

Bitcoin – มีลิมิตอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ และเมื่อขุดจนครบแล้วหลังจากนั้นจะไม่มีเหรียญ BTC ใหม่ๆถูกสร้างขึ้นอีก ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่จะไม่มีการลิมิตจำนวนเหรียญที่จะขุดได้ แต่อาจจะควบคุมเหรียญที่ขุดได้ต่อวันเช่น ETH

Stablecoins – คือสกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงราคาไว้ให้เท่ากับ 1 USD โดยการใช้เงินดอลลาร์จริงๆมาค้ำไว้ 1 ต่อ 1 ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลประเภทนี้จะต้องรักษา supply สูงสุดให้คงที่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันปัญหา supply shock จนส่งผลกระทบต่อราคาและก่อให้เกิดความผันผวนและกลายเป็น Stablecoins ที่ไม่ stable ในที่สุด โดยที่ Stablecoins จะมีการเขียนโปรแกรมให้มีการ burn เหรียญและสร้างเหรียญในระยะเวลาที่รวดเร็ว เพื่อทำให้ Stablecoins ตรึงอยู่ที่ 1 ดอลลาร์เท่าเดิม

 

Supply ทั้งหมด

Supply ทั้งหมดแตกต่างกับ supply หมุนเวียนตรงที่ supply ทั้งหมดจะรวมถึงเหรียญที่เก็บสำรองไว้สำหรับเป็นผลตอบแทนสำหรับการ staking ด้วย ซึ่งเหรียญเหล่านี้จะไม่ได้หมุนเวียนอยู่ในระบบ

Reference : cointelegraph