เคยไหม เวลาเราอยู่ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซีหรือการเทรด เราจะได้เห็นคำศัพท์เฉพาะบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย เช่น FOMO, ROI, ATH, HODL และคงไม่มีใครเข้าใจคำศัพท์พวกนี้ตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งบทความนี้จะมาอธิบายความหมายของคำศัพท์เฉพาะเหล่านี้ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกคริปโทเคอร์เรนซี

 

1.FUD – Fear, Uncertainty, Doubt – ความกลัว ความไม่แน่นอน และความสงสัย

แม้ว่าคำนี้จะไม่ใช่คำศัพท์เฉพาะสำหรับคริปโทเคอร์เรนซี แต่ FUD ก็เป็นคำที่มักนิยมใช้กันในโลกการเงิน โดย FUD เป็นกลยุทธ์ที่ผู้ไม่หวังดีใช้เพื่อทำลายชื่อเสียงขององค์กรหรือบริษัทต่างๆ รวมถึงตัวคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยการเผยแพร่ Fake News ที่สามารถบ่อนทำลาย และปลูกฝังความกลัวให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้อง หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เช่นผู้ที่ทำการ FUD อาจจะทำการ Short คริปโทฯตัวหนึ่งไว้เพื่อที่จะทำกำไรเมื่อราคาเหรียญตกลง จากนั้นก็ทำการ FUD จนคริปโทฯตัวนั้นเสียหายแล้วราคาตกลง

ในการ FUD หลายครั้ง ข้อมูลส่วนใหญ่มักจะไม่เป็นความจริงหรือเป็นการเข้าใจผิด แต่บางครั้งข้อมูลที่ FUD ก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งเราก็ควรพิจารณาข้อมูลจากหลายด้าน แต่ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

 

2.FOMO – Fear Of Missing Out – กลัวพลาดโอกาส

FOMO คืออารมณ์ที่นักลงทุนจะรู้สึกก่อนตัดสินใจที่จะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์เพราะกลัวพลาดโอกาสในการทำกำไร กลัวพลาดโอกาสในการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังพุ่ง แล้วก็ทำการเข้าซื้อตามไปเพราะความรู้สึกเสียดาย ซึ่งการ FOMO จะทำให้เราตัดสินใจโดยไม่รอบคอบและไม่ทำตามแผนการเทรด เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้การลงทุนของเรา

แต่ไม่ต้องห่วง เพราะไม่ได้มีแค่เราที่เกิดอาการ FOMO คนส่วนใหญ่ก็มักเป็นกัน เมื่อคนจำนวนมากเกิดการ FOMO และรีบกระโจนเข้าซื้อสินทรัพย์หรือคริปโทเคอร์เรนซีหนึ่งๆ ราคาของสินทรัพย์นั้นจะมีการผันผวนอย่างหนัก

สิ่งที่ควรระวังคือพวกปั่นกระแส กลุ่มคนพวกนี้คือพวกที่เข้าซื้อตั้งแต่ต้นน้ำแล้ว และมาปั่นกระแสในโซเชียลมีเดีย ชักจูงให้ผู้คนเข้าซื้อ ด้วยความโลภและ FOMO โดยจะมีประโยคฮิตๆเช่น ราคาตอนนี้ยังหลุมเพื่อน ไม่ซื้อตอนนี้ต้องซื้อตอนราคา XXX นะ และผู้คนที่เกิดอาการ FOMO ก็มีโอกาสสูงทีเดียวในการลงทุนโดยที่ไม่ศึกษาพื้นฐานของโปรเจค และวิเคราะห์จุดเข้าซื้ออย่างถี่ถ้วน

 

3.HODL – ถือไปเรื่อยๆ

HODL เป็นคำที่เพี้ยนมาจาก hold หมายความถึงการถือครองเงินลงทุนต่อไปแม้ว่ามูลค่าจะตกลงก็ตาม และยังมีการใช้คำว่า Hodler สำหรับเรียกกลุ่มคนที่ยอมรับว่าไม่เก่งในการเทรดระยะสั้น แต่ต้องการเข้าซื้อคริปโทเคอร์เรนซีตัวใดตัวหนึ่ง จนกระทั่งเหรียญนั้นราคาพุ่ง to the moon และยังมีการใช้คำนี้ในกลุ่มนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นในคริปโทฯเหรียญใดเหรียญหนึ่งสูง ถึงแม้ราคาเหรียญจะตกลง แต่จะบอกตัวเองให้ HODL ต่อไปจนกระทั่งราคาสูงขึ้น

กลยุทธ์ HOLDing นั้นคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ซื้อและถือจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม นักลงทุนที่ซื้อและถือจะพยายามค้นหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง (undervalued) แล้วเข้าซื้อและถือไว้เป็นเวลานานๆ นักลงทุนจำนวนมากมักจะใช้กลยุทธ์นี้กับบิตคอยน์ ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็ใช้ได้ผลกับบิตคอยน์ เพราะมูลค่าของบิตคอยน์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ต้องย้ำว่าใช้ไม่ได้กับคริปโทเคอร์เรนซีทุกตัว เพราะบางตัวก็อาจจะไม่มีมูลค่าเลยในอนาคต

 

4.ROI – Return on Investment – ผลตอบแทนจากการลงทุน

ROI เป็นหนึ่งในวิธีการวัดผลการดำเนินงานของการลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ ROI วัดผลตอบแทนของการลงทุนจากต้นทุนเริ่มต้นของเรา ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกในการเปรียบเทียบว่าจะเลือกลงทุนที่ไหนดี

วิธีการคำนวณ ROI

ROI = (มูลค่าของการลงทุน – ต้นทุน) / ต้นทุน

สมมติว่าเราเข้าซื้อบิตคอยน์ที่ราคา 40,000 ดอลลาร์ แล้วราคาตลาดปัจจุบันของบิตคอยน์อยู่ที่ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ROI = (50,000 – 40,000) / 40,000

ROI = 0.25

หมายความว่าเราได้ผลตอบแทนจากการเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 25% (ซึ่งควรนำค่าธรรมเนียมหรืออัตราดอกเบี้ยเข้ามาหักลบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น)

แต่ ROI เป็นเพียงตัวเลขดิบๆที่ไม่ได้แสดงภาพรวมทั้งหมด การลงทุนยังมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน กรอบเวลาการลงทุนเท่าใด สินทรัพย์มีสภาพคล่องดีไหม ROI ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่คลอบคลุมทุกด้านแต่มันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวัดประสิทธิภาพในการลงทุนของเรา

 

5.ATH – All Time High – จุดสูงสุดตลอดกาล

ราคาสูงตลอดกาลคือราคาสูงสุดที่บันทึกไว้สินทรัพย์หรือคริปโทเคอร์เรนซีนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ATH ของบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ 73,000 ในช่วงวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา

เรื่องที่น่าสนใจสำหรับจุด ATH ก็คือแนวคิดที่ว่าเมื่ออยู่ในจุดนี้ทุกคนที่เคยเข้าซื้อจะอยู่ในจุดที่ได้กำไร ทุกๆคนคาดหวังว่าจะได้กำไรหรืออย่างน้อยก็คุ้มทุนตอนออกจากตลาด แต่หากสินทรัพย์นั้นทะลุ ATH ขึ้นไปได้ ก็จะไม่มีผู้ซื้อคนใดที่รอออกจากจุดคุ้มทุน แล้วหลังจากนี้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีแนวต้านที่ชัดเจนรออยู่

การทะลุ ATH มักมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น เพราะนักเทรดหน้าใหม่มักจะสนใจเหตุการณ์แบบนี้ แล้วเข้าซื้อหวังว่าราคาจะสูงขึ้น แต่การทะลุ ATH ไม่ได้หมายความว่าราคาจะสูงไปตลอด นักเทรดที่ได้กำไรแล้วจะหาจุดขายทำกำไร ณ จุดใดจุดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นราคาอาจจะร่วงลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนักเทรดส่วนใหญ่เริ่มเห็นวี่แววว่าขาขึ้นใกล้สิ้นสุดลง ทุกคนก็จะรีบขายเพื่อทำกำไรให้เร็วที่สุด ในจุดนี้ก็จะมีคนที่ขายไม่ทันแล้วขายทุนในที่สุด

 

6.ATL – All Time Low – ต่ำสุดตลอดกาล

จุดนี้คือจุดที่ตรงข้ามกับ ATH เพราะ ATL คือจุดที่ราคาของสินทรัพย์ต่ำที่สุด ตัวอย่างเช่น ATL ของเหรียญ BNB อยู่ที่ 0.5 USDT ในวันแรกที่เปิดซื้อขาย เมื่อราคาทะลุจุด ATL อาจส่งผลคล้ายกับการทะลุจุด ATH แต่ในทิศทางตรงกันข้าม อาจจะมีนักเทรดหลายคนเทขาย ณ จุดนี้ นำไปสู่ราคาที่ร่วงอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการทะลุ ATL หมายความว่าราคาไม่เคยลงมาต่ำเท่านี้มาก่อน มูลค่าจึงสามารถลดต่ำลงไปได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีแนวรับหรือแนวต้านในอดีตสำหรับเป็นจุดเข้าซื้อสำหรับนักเทรด การเข้าซื้อในช่วงดังกล่าวจึงค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง

นักเทรดจำนวนมากจึงรอยืนยันการเปลี่ยนเทรนด์ ด้วยอินดิเคเตอร์และการวิเคราะห์อื่นๆร่วมกันเพื่อหาจุดเข้าซื้อ แต่ถ้าหากเราคิดผิด ก็อาจจะจบลงด้วยการนั่งดูพอร์ทที่มูลค่าลดลงเรื่อยๆ

 

7.DYOR – Do You Own Research – ศึกษาด้วยตนเอง

เมื่อพูดถึงการเงินและการลงทุน DYOR เป็นคำที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ซึ่งหมายความว่านักลงทุนควรทำการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาหรือเชื่อคนอื่น

นักลงทุนที่มีความรอบคอบมักจะทำการศึกษาในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุน ถ้าหากใครอยากเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน ก็ควรทำการศึกษาและหากลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะแต่ละคนมีแนวคิดต่างกัน มีต้นทุนไม่เท่ากัน รับความเสี่ยงได้ต่างกัน การเลือกลงทุนตามคนอื่นอาจไม่เป็นผลดีเสมอไป

 

8.KYC – Know Your Customer – รู้จักลูกค้าของคุณ

แพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีต้องปฏิบัติตามกฎขององค์กรกำกับดูแล อย่างในประเทศไทยก็จะเป็น ​คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ KYC คือแนวทางที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุนจะตรวจสอบตัวตนลูกค้าของตน เหตุผลหลักๆคือการลดความเสี่ยงในการฟอกเงินให้เหลือน้อยที่สุด

Reference : Binance Academy