คริปโทเคอร์เรนซีมีคุณสมบัติบางอย่างที่เป็นจุดเด่น เช่น ไม่สามารถแฮ็กหรือทำลายได้อย่างง่ายดาย และทุกคนสามารถใช้งานมันเพื่อส่งผ่านมูลค่าไปได้ทั่วโลกโดยปราศจากการแทรกแซงจากบุคคลที่สามมาควบคุม

แต่เพื่อคุณสมบัติเหล่านี้ จึงต้องมีการได้อย่างเสียอย่าง ถ้าต้องการความไร้ศูนย์กลาง ก็ต้องแลกกับการมีข้อจำกัดที่จำนวนธุรกรรมต่อวินาทีสามารถทำได้จำกัด ซึ่งถือเป็นปัญหาสำหรับเทคโนโลยีที่ต้องการให้คนมาใช้อย่างแพร่หลาย

เพื่อที่จะเอาชนะข้อจำกัดนี้ ได้มีการเสนอหนทางในการเพิ่มขนาดธุรกรรมที่รองรับได้ให้มากขึ้น ในบทความนี้เราจะกล่าวเกี่ยวกับวิธีการหนึ่งในนั้นคือ Lightning Network ที่เป็นส่วนขยายของบิตคอยน์ ซึ่งช่วยในการรองรับธุรกรรมได้อย่างดี และส่วนขยายนี้สามารถทำให้เราทำรายได้ได้อย่างไร

 

Lightning Network คืออะไร

Lightning Network เป็นเครือข่ายเสริมจากเครือข่ายบล็อกเชนเดิม เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมแบบ peer-to-peer ให้ทำได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้งานบนเครือข่ายของ Bitcoin และ Litecoin

เราใช้คำว่าเครือข่ายเสริม เพราะมันไม่ได้ทำงานบนเครือข่ายหลักโดยตรง แต่เสริมออกมาข้างนอก หรือที่เรียกกันว่า Layer-2 โดยทำให้คนมาทำธุรกรรมได้ โดยไม่ต้องบันทึกทุกธุรกรรมลงบนเครือข่ายหลัก

Lightning Network มี โหนดและซอฟแวร์ของตัวเอง ในการเข้าหรือออกจาก Lightning Network เราต้องสร้างธุรกรรมพิเศษบนเครือข่ายหลักขึ้นมา ซึ่งในธุรกรรมแรกนี้เรา (A) จะทำ”สัญญา” กับผู้ใช้เครือข่ายคนอื่น (B) ในตอนนี้เราจะมีบัญชีบันทึกธุรกรรมส่วนตัวที่ใช้กันเพียงสองคนระหว่าง A และ B ซึ่งจะเป็น”ช่องทางพิเศษ” ซึ่งเราสามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วและจำนวนมากขึ้นได้ในช่องทางพิเศษนี้ มีเพียงเราและคู่สัญญาเท่านั้นที่จะสามารถเห็นธุรกรรมได้ แต่ระบบก็ได้มีการป้องกันการโกงไว้อย่างดี

สมมติว่า Alice เปิดช่องทางพิเศษกับ Bob โดยทั้งคู่มีคนละ 5 BTC ถ้า Alice ส่ง 1 BTC ให้ Bob ในช่องทางพิเศษนี้ก็จะบันทึกว่า Bob มี 6 BTC ส่วน Alice มี 4 BTC โดยที่ธุรกรรมนี้ยังไม่ได้บันทึกลงบนเครือข่ายบล็อกเชนหลัก

แต่เมื่อใดที่ใครคนหนึ่งต้องการจะเผยแพร่สถานะบัญชีในช่องทางพิเศษนี้ลงบนบล็อกเชนหลักก็สามารถทำได้ตลอดเวลา ระบบจะจัดสรรยอด balance ที่ Alice มี 4 BTC ส่วน Bob มี 6 BTC ลงบนเครือข่ายหลัก

ซึ่ง Lightning Network ก็ขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ไม่ต้องรอ block confirmation สามารถชำระเงินได้เร็วเท่าที่อินเทอร์เน็ตจะเร็วได้

 

ทำไมต้องใช้ Lightning Network

ในปัจจุบันบิตคอยน์มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดการใช้งาน จำนวนธุรกรรมที่ทำได้ประมาณ 4-5 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งการที่นำ Lightning Network มาใช้ จะสามารถลดข้อจำกัดเรื่องนี้ลงไปได้

เพิ่มจำนวนธุรกรรม

Bitcoin จะสร้างบล็อกทุกๆ 10 นาที และในบล็อกนั้นจะเก็บข้อมูลได้จำนวนหนึ่ง หมายความว่าขณะที่ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ในแต่ละบล็อกจะเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ดังนั้นจึงมีการ bid ระหว่างผู้ใช้งาน เพื่อให้ได้ทำธุรกรรมก่อน โดยผู้ที่ให้ค่าธรรมเนียมสูง จะได้ทำธุรกรรมเป็นคนแรกๆ

เมื่อมีผู้ใช้งานยังไม่มาก การส่ง Bitcoin ระหว่างกันก็ไม่ใช่ปัญหา ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าธรรมเนียมต่ำๆ แต่ก็สามารถทำธุรกรรมได้สำเร็จในเวลาปกติ แต่เมื่อผู้ใช้งานพยายามจะส่ง Bitcoin พร้อมๆกัน ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงตลาดพีคๆค่าธรรมเนียมอาจเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ซึ่งจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ทำรายการขนาดเล็กๆ

แต่ด้วยการใช้ Lightning Network เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสองครั้ง ครั้งแรกเพื่อเปิดช่องทางพิเศษและจ่ายอีกครั้งเพื่อปิด แต่เราสามารถทำธุรกรรมได้นับพันรายการขณะที่ช่องเปิดอยู่ เมื่อต้องการปิดช่อง จะต้องทำการเผยแพร่สถานะบัญชีธุรกรรมไปยังบล็อกเชน

ถ้ามองในภาพใหญ่ ถ้าผู้ใช้งานหันมาใช้ Lightning Network มากขึ้น พื้นที่ของบล็อกเชนจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ Lightning Network ในการส่ง BTC จำนวนน้อยๆ และเหลือพื้นที่ให้กับการส่ง BTC จำนวนมาก ซึ่งทำให้ระบบรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น และการใช้พื้นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว

การทำธุรกรรมขนาดเล็ก

ปกติการส่ง Bitcoin จะมีขั้นต่ำอยู่ที่ 0.00000546 BTC ในขณะที่เขียนอยู่ที่ 4 บาท มันเป็นจำนวนน้อยแล้ว แต่ Lightning Network สามารถทำให้ลิมิตขั้นต่ำน้อยลงไปอีก อยู่ที่ 0.00000001 BTC หรือที่เรียกว่า 1 satoshi

ความเป็นส่วนตัว

ประโยชน์รองของ Lightning Network คือความเป็นส่วนตัวที่ดีเยี่ยม คนทั่วไปจะดูได้ว่ามีการเปิดช่องทางพิเศษ แต่จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีธุรกรรมอะไรเกิดขึ้นข้างใน หากผู้เปิดช่องทางตั้งให้มันเป็นส่วนตัว มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีธุรกรรมอะไรเกิดขึ้น

 

โหนด Lightning Network

เครือข่าย Lightning Network ทำงานได้ด้วยโหนดที่ดำเนินการโดยบุคคลหรือองค์กรต่างๆจะต้องมีการ lock บิตคอยน์จำนวนหนึ่งไว้ในช่องทางพิเศษก่อนจะใช้งานเครือข่าย Lightning จากนั้นจนกว่าจะปิดช่อง เราสามารถใช้งานเครือข่ายได้อย่างเต็มที่

ส่วนการชำระเงินต่างๆ เพียงแค่สแกนคิวอาโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ขาย ด้วย Lightning Wallet และยืนยันการชำระเงินโดยระบุลายเซ็นดิจิทัล (คล้ายๆสแกนจ่ายในแอปธนาคาร)

การยืนยันการชำระเงินจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งใช้เวลาน้อยและค่าธรรมเนียมไม่มาก เนื่องจากไม่ได้ทำบนบล็อคเชนของ Bitcoin และหลังจากใช้งานเรียบร้อยแล้ว เราสามารถออกจากช่องเพื่อบันทึกธุรกรรมลงบนบล็อกเชนหลักของ Bitcoin

 

Lightning Network ทำเงินได้อย่างไร

เราสามารถทำรายได้ด้วยการให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากคนอื่นวิ่งผ่านช่องทางของเรา แล้วเราเก็บค่าธรรมเนียม โดยเราต้องมี BTC ใน Lightning Wallet ของเรา และต้องเปิดช่องทางกับคนอื่นๆไว้ เช่นเรา (A) เปิดกับช่องทางพิเศษกับ (B) แล้วเราก็ได้เปิดกับ (C) ไว้ด้วย ดังแผนภาพนี้ A-B , A-C

สมมติว่า B ต้องการส่ง BTC ให้ C ซึ่ง B ไม่จำเป็นต้องเปิดช่องทางพิเศษกับ C โดยตรง แต่สามารถส่งผ่านช่องทางของ A ได้ ดังนี้ B-A-C ซึ่ง A ที่เป็นช่องทางของทั้งสองสามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้ แต่ต้องระวังเรื่องเก็บค่าธรรมเนียมสูงเกินไป เพราะเครือข่ายจะหาช่องทางที่ทำให้ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดให้ผู้ใช้งาน

Reference :

https://cointelegraph.com/explained/can-you-earn-passive-income-running-a-lightning-node

https://academy.binance.com/en/articles/what-is-lightning-network