พัฒนาการของเครื่องขุดบิตคอยน์

เมื่อบิตคอยน์และการขุดบิตคอยน์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2008 ในช่วงแรกมันคือกิจกรรมเฉพาะกลุ่มของคนที่ชอบในศาสตร์การเข้ารหัส (cryptography) แต่หลังจากนั้นมันได้เติบโตกลายเป็นอุตสาหกรรมระดับพันล้านดอลลาร์ ซึ่งมี Bitmain เป็นผู้นำตลาดเครื่องขุดบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2013

Bitmain เข้าสู่ตลาดเครื่องขุดเมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นการมาของยุค “ASIC” (ชิปที่ไว้สำหรับการทำงานเฉพาะอย่าง ซึ่งในที่นี้คือชิปสำหรับขุดบิตคอยน์โดยเฉพาะ) ซึ่งบริษัท Bitmain เองพยายามทำให้ ASIC นั้นเป็นที่นิยมในคนหมู่มาก และความต้องการใน ASIC ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปพร้อมกับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์

การขุดบิตคอยน์ : จากความชอบเฉพาะกลุ่มสู่อุตสาหกรรมระดับโลก

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์คือคอมพิวเตอร์บ้านๆที่เราใช้กัน คอมพิวเตอร์พวกนี้จะทำงานด้วย CPU multi-core แบบมาตรฐาน ซึ่งจะขุดได้ 50 BTC ต่อบล็อก ซึ่งในเวลานั้นมันเท่ากับไม่กี่ดอลลาร์ต่อวัน 10 ปีต่อมาในปี 2019 การขุดบิตคอยน์สร้างรายได้ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ถึงยังไงการเติบโตของอุตสาหกรรมก็ยังมีความผันผวน ตัวเลขพวกนี้แสดงถึงความต้องการโดยรวมที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่จะเข้ามาขุดบิตคอยน์

เมื่อตุลาคม 2010 ได้มีการเผยแพร่โค้ดสำหรับขุดบิตคอยน์ด้วย GPU สู่สาธารณะ ถึงแม้คนทั่วไปจะสามารถขุดบิตคอยน์ด้วยตัวเองได้ แต่ GPU ก็ยังไม่เหมาะสมนักที่จะเอามาขุด ถัดมาในปี 2011 ได้มีการนำชิป FPGA มาใช้ในการขุดซึ่งมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะสามารถใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า GPU

ในปี 2012 อุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์ได้ก้าวหน้ามากกว่าเดิมด้วยการปรับใช้เทคโนโลยี ASIC เครื่องขุดที่ถูกดีไซน์มาโดยเฉพาะเพื่อใช้ในการขุดบิตคอยน์ ซึ่งได้มาแทนการขุดโดยใช้ชิป FPGA ซึ่ง ASIC คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น แรงขุดมากขึ้น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในอุตสาหกรรมขุดบิตคอยน์

จุดกำเนิดของ Antminer

ในเดือนพฤศจิกายน 2013 Bitmain ได้นำเสนอเครื่องขุด ASIC ออกสู่ตลาด มีชื่อว่า Antminer S1 ซึ่งมีแรงขุดอยู่ที่ 180 GH/s และไม่กี่เดือนถัดมาก็มีการปล่อยโมเดล Antminer S2 ออกมา ซึ่งมีแรงขุดที่มากกว่าถึง 1 TH/s ซึ่งเครื่องขุด ASIC ของ Bitmain ก็ได้พัฒนาด้านแรงขุดและความประหยัดพลังงานอยู่ตลอดเวลา

ในช่วงปี 2014 – 2019 Bitmain ได้ปล่อยเครื่องขุด Antminer หลายรุ่นเข้ามาสู่ตลาด โดยเฉพาะในปี 2014 ปีเดียว Bitmain ปล่อย Antminer S2,S3,S4 และ S5 ซึ่งแต่ละรุ่นก็ได้พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เติบโตไปพร้อมๆกับความต้องการในอุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์ และนอกจากนั้น Bitmain ยังได้สร้าง Antpool ซึ่งเป็น Pool ที่ให้นักขุดนำกำลังขุดมารวมกันในปี 2014 ซึ่งเป็นความต้องการที่จะกระจายศูนย์เครือข่ายของบิตคอยน์และทำให้นักขุดมีการกระจายรายได้มากขึ้น ซึ่งต่อมาในปี 2015 ได้สร้างเว็บไซต์ BTC.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างบนเครือข่ายบล็อกเชน

ในปี 2017 ที่ราคาของ Bitcoin ได้พุ่งขึ้นสูง Bitmain ก็ทำการปล่อยรุ่นใหม่ออกมาที่เป็นเหมือนอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของรุ่น S9 คือ Antminer T9 ซึ่งมีแรงขุด 11.5 TH/s

ขณะที่ตลาดของบิตคอยน์กำลังเติบโตขึ้น Bitmain ปล่อย Antminer S15 ออกมาในงาน World Digital Mining Summit ปี 2018 ซึ่งรุ่น S15 นี้ทำให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวโดยได้ใช้ ชิป 7 นาโนเมตรของ Bitmain ประกอบไปด้วยมากกว่า 1 ล้านทรานซิสเตอร์ต่อชิ้น

และในปี 2019 Bitmain ได้ปล่อยเครื่องขุดบิตคอยน์รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเวลานั้น Antminer 17 Series ที่มีการแยกออกมาหลายรุ่น เช่น Antminer S17 , Antminer S17 Pro

ในปี 2020 Bitmain ก็ยังได้ปล่อย Antminer S19 และ Antminer S19 Pro ออกมา ซึ่งมีแรงขุดอยู่ที่ 95 TH/s และ 110 TH/s ซึ่งรุ่น S19 นี้ก็ได้แยกออกมาอีกหลายตัว ซึ่งรุ่นล่าสุดในปี 2022 จะเป็น S19 Pro+ Hydro ที่จะมีสารหล่อเย็นช่วยระบายความร้อนให้เครื่องขุด ซึ่งมีแรงขุดอยู่ที่ 158 TH/s โดยประมาณ

Antminer กับขีดจำกัดทางเทคโนโลยี

ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา เครื่องขุดได้ถูกพัฒนาความสามารถขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด แต่ในช่วงปีหลังๆการพัฒนาก็ได้ช้าลงเนื่องจากขีดจำกัดทางเทคโนโลยี การออกรุ่นใหม่มาแต่ละรุ่นนั้นได้ใส่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น ทำให้การซื้อเครื่องขุดในช่วงเวลานี้คุ้มค่ากว่าเมื่อก่อนเพราะสามารถใช้ขุดได้คุ้มค่าจนกว่ารุ่นใหม่ๆจะออกมา และรุ่นใหม่ๆที่ออกในช่วงหลังมานี้เทคโนโลยีจะไม่แตกต่างกันมาก