ทางการสหรัฐฯ ได้เริ่มปล่อยอุปกรณ์ขุดคริปโตเคอเรนซีบางส่วนที่ถูกยึดไว้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตามรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 5 มีนาคม โดย Taras Kulyk ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Synteq Digital ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าอุปกรณ์ขุดคริปโตกล่าวว่า:

“มีการปล่อยอุปกรณ์หลายพันเครื่องแล้ว”

Kulyk ระบุว่า ในช่วงหนึ่งมีอุปกรณ์มากถึง 10,000 เครื่องที่ติดอยู่ตามท่าเรือต่างๆ ด้าน Ethan Vera ซีโอโอของ Luxor Technology ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ Reuters ว่า “มีบางส่วนถูกปล่อยออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ยังเป็นส่วนน้อยเท่านั้น” การปล่อยอุปกรณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากหลายเดือนของการตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องชิปที่ผลิตในจีนซึ่งใช้อยู่ในอุปกรณ์เหล่านี้

 

เหตุผลที่ยึดอุปกรณ์: ความกังวลด้านความปลอดภัยและการค้า

ตามรายงานของ Blockspace ที่ถูกอ้างถึงโดย Reuters หน่วยงาน U.S. Customs and Border Protection (CBP) และ Federal Communications Commission (FCC) เริ่มยึดอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์บางรุ่นตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยมีการสงสัยว่าอุปกรณ์บางชิ้นอาจมีชิปจาก Sophgo บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของจีนที่ถูกสหรัฐฯ จำกัดการค้า

ประเด็นนี้เกิดจากข้อกล่าวหาว่า Sophgo ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างผู้ผลิตชิปของไต้หวันอย่าง TSMC และ Huawei บริษัทโทรคมนาคมของจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ทำให้หน่วยงานสหรัฐฯ ต้องเข้มงวดกับอุปกรณ์ที่มีชิปจากจีนมากขึ้น

 

ความขัดแย้งด้านการค้าและการเมืองระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการแผ่คลื่นวิทยุจากอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์ที่ถูกยึด ซึ่งเจ้าหน้าที่บางรายอ้างว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารในอุตสาหกรรมขุดคริปโตหลายรายมองว่าเหตุผลดังกล่าวไม่มีมูลความจริง

Kulyk ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่บางคนใน CBP ดูเหมือนจะไม่ชอบการขุดบิตคอยน์และจงใจทำให้กระบวนการยึดและปล่อยอุปกรณ์ซับซ้อนขึ้น โดยเขากล่าวว่า:

“ดูเหมือนจะมีบางคนใน CBP ที่ไม่ชอบการขุดบิตคอยน์จริงๆ พวกเขาเลยพยายามทำให้ทั้งอุตสาหกรรมปวดหัว ซึ่งก็ทำได้ดีทีเดียว”

แม้ CBP จะรับทราบคำขอให้ความเห็นจาก Reuters แต่ยังไม่มีการตอบกลับ เช่นเดียวกับ FCC การปล่อยอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์ในบางส่วนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีที่มีทั้งข้อจำกัดทางการค้าและความกังวลด้านความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก

Reference : Bitcoin News