1. หมู่เกาะเคย์แมน: ยกเว้นภาษีทุกชนิด
หมู่เกาะเคย์แมนไม่มีภาษีบุคคล, ภาษีกำไรจากเงินทุน หรือภาษีนิติบุคคล และนั่นรวมถึงผลกำไรจากคริปโทเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเทรด, ถือเหรียญระยะยาว หรือใช้งาน DeFi ก็ไม่มีภาษี นอกจากนั้นยังมีกฎหมายรองรับผู้ให้บริการคริปโท เช่นกฎหมาย Virtual Asset Service Providers Act เริ่มใช้งานเมษายน 2025 รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และระบบกฎหมายแบบอังกฤษที่ปลอดภัย
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: เขตปลอดภาษีคริปโทครบวงจร
ในทุก 7 เอมิเรตต์ของ UAE ทั้งดุไบและอาบูดาบีไม่เก็บภาษีบุคคลหรือกำไรจากคริปโท ไม่ว่าจะเทรด, staking หรือขุด มีหน่วยงานกำกับดูแลชัดเจน เช่น VARA และ DFSA พร้อมวิสาขปิดใบอนุญาตธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก นอกจากนี้ยังมีวีซ่า Crypto-friendly เหมาะสำหรับผู้โยกย้ายในสายคริปโท
3. เอลซัลวาดอร์: หนึ่งใน “ประเทศที่ใช้บิทคอยน์เป็นเงินตรา”
ตั้งแต่ปี 2021 เอลซัลวาดอร์ยอมรับบิทคอยน์เป็นเงินตราประจำชาติ และตามกฎหมายดิจิทัลแอสเซ็ทในปี 2025 ไม่เก็บภาษีกำไรจากบิทคอยน์ ไม่ว่าจะเทรด ถือ หรือใช้จ่าย ผ่านนายหน้าหรือกระเป๋าอย่าง Chivo เมือง Bitcoin City ที่ไม่เก็บภาษีรายได้, อสังหาฯ หรือเงินเดือน กำลังเป็นจุดหมายของนักลงทุนและนักขุด
4. เยอรมนี: ผู้ถือระยะยาว “ปลอดภาษี”
แม้จะไม่ใช่ tax haven อย่างเต็มตัว แต่เยอรมนีไม่เก็บภาษีกำไรจากคริปโทหากถือไว้นานกว่า 12 เดือน ถือเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล และหากกำไรต่อปีไม่เกิน 1,000 ยูโร ก็ไม่ต้องเสียภาษี แม้จะเทรดระยะสั้นก็ได้เงื่อนไขยกเว้นหากกำไรไม่เกินกรอบนี้
5. โปรตุเกส: ช่วงเงินล้านไม่เก็บ
โปรตุเกสยังคงนโยบายยกเว้นภาษีกำไรจากคริปโทถือเกิน 365 วัน ภายใต้โครงการ Non-Habitual Resident (NHR) ผู้ย้ายเข้าก่อน 31 มีนาคม 2025 จะได้รับประโยชน์พิเศษ ไม่มีภาษีจากรายได้คริปโทต่างประเทศ ส่วนรายได้ภายในประเทศเสียเพียง 20% แม้จะมีภาษี 28% สำหรับการเทรดระยะสั้น แต่นักลงทุนระยะยาวยังได้เปรียบมาก
Reference: Cointelegraph