OP_RETURN เป็นคำสั่ง (opcode) ใน Bitcoin Script ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถฝังข้อมูลขนาดเล็กที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้ (unspendable data) ลงในธุรกรรม Bitcoin ซึ่งถือเป็นการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานที่หลากหลายและการรักษาความมีประสิทธิภาพของเครือข่าย ล่าสุด มีข้อเสนอให้ยกเลิกขีดจำกัด 80 ไบต์ที่ใช้กับ OP_RETURN ซึ่งได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงครั้งใหญ่ในชุมชน Bitcoin เกี่ยวกับบทบาทของ Bitcoin ในฐานะระบบเก็บข้อมูลและระบบการชำระเงิน
OP_RETURN คืออะไร?
OP_RETURN ถูกเพิ่มเข้ามาใน Bitcoin Core เวอร์ชัน 0.9.0 เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถฝังข้อมูลสูงสุด 80 ไบต์ในธุรกรรม Bitcoin ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นข้อความ แฮช หรือโปรโตคอลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การฝังข้อมูลในรูปแบบนี้ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถใช้จ่ายได้ และช่วยให้โนด (node) สามารถลบข้อมูลดังกล่าวออกจากชุด UTXO เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูล
ตัวอย่างของการใช้งาน OP_RETURN ได้แก่:
- การฝังหลักฐานการเป็นเจ้าของ (Proof of Ownership)
- การฝังข้อมูล Metadata สำหรับโปรโตคอลชั้นสอง (L2)
- การเผาเหรียญ (Coin Burn) เพื่อใช้เป็นกลไกบางอย่าง เช่น ในโครงการ Counterparty
- การฝังข้อมูลแบบ Zero-Knowledge Proof ในโครงการใหม่ เช่น Citrea
เหตุใดถึงต้องจำกัด 80 ไบต์?
ขีดจำกัด 80 ไบต์ถูกกำหนดไว้ในปี 2014 เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเก็บข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินในบล็อกเชน Bitcoin มากเกินไป โดยการจำกัดขนาดข้อมูลให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ แต่ยังคงเพียงพอสำหรับการฝัง Metadata หรือข้อมูลสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดนี้ OP_RETURN ยังคงเป็นธุรกรรมที่สามารถส่งต่อและยืนยันในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่ามันควรถูกใช้เพื่ออะไร และการยกเลิกขีดจำกัดดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายอย่างไร
การถกเถียงเรื่องการยกเลิกขีดจำกัด 80 ไบต์
ข้อเสนอในการยกเลิกขีดจำกัด 80 ไบต์ใน Bitcoin Core เวอร์ชันถัดไปได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในชุมชน Bitcoin โดยนักพัฒนาบางส่วนมองว่า ขีดจำกัดดังกล่าวไม่จำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้วิธีการอื่นในการฝังข้อมูล เช่น Fake Multisig หรือ Taproot-based Inscriptions ที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า 80 ไบต์
ข้อเสนอเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การยกเลิกขีดจำกัดจะช่วยให้การสร้างธุรกรรมง่ายขึ้น และลดต้นทุนการทำธุรกรรมสำหรับผู้ใช้งาน แต่ฝ่ายตรงข้ามเตือนว่า การเพิ่มขนาดข้อมูลที่ฝังในบล็อกเชนอาจสร้างปัญหาด้านการจัดเก็บข้อมูล (bloat) และเพิ่มต้นทุนในการรันโนด
ความกังวลจากฝ่ายคัดค้าน
ผู้คัดค้านการยกเลิกขีดจำกัด 80 ไบต์มองว่า การเปิดให้ฝังข้อมูลขนาดใหญ่กว่าเดิมอาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดการใช้บล็อกเชน Bitcoin ในทางที่ผิด เช่น การเก็บข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน หรือการใช้บล็อกเชนเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่าการเพิ่มขนาดข้อมูลในธุรกรรมจะทำให้การคำนวณค่าธรรมเนียม (fee estimation) ซับซ้อนขึ้น และอาจนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจในการประมวลผลข้อมูลในหมู่นักขุด (mining pools) ที่สามารถรองรับธุรกรรมขนาดใหญ่ได้มากกว่า
การบังคับใช้นโยบายและการบังคับใช้แบบอิสระ
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงการปรับนโยบาย (Policy) ใน Bitcoin Core ซึ่งหมายความว่า โนดบางส่วนยังคงสามารถปฏิเสธธุรกรรม OP_RETURN ที่มีขนาดใหญ่กว่า 80 ไบต์ได้ โดยเฉพาะโนดที่รันซอฟต์แวร์ทางเลือก เช่น Bitcoin Knots ที่เน้นการป้องกันการบวมของข้อมูล
สรุป: การเดินทางสู่อนาคตของ OP_RETURN
ประเด็นการยกเลิกขีดจำกัด 80 ไบต์ใน OP_RETURN สะท้อนให้เห็นถึงการพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมการใช้งานบล็อกเชน Bitcoin ในแอปพลิเคชันที่หลากหลาย และการรักษาความเป็นระบบการชำระเงินที่กระชับและมีประสิทธิภาพ
ผู้สนับสนุนมองว่าการยกเลิกขีดจำกัดจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้วิธีการฝังข้อมูลที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ขณะที่ผู้คัดค้านยังคงกังวลถึงผลกระทบต่อการจัดเก็บข้อมูลและความเป็นระบบการชำระเงินที่เน้นความกระชับและมีประสิทธิภาพ
การตัดสินใจนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกเชน (Consensus) แต่จะเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนนโยบายในการส่งต่อธุรกรรมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ Bitcoin จะมุ่งเน้นไปที่การเป็นระบบการชำระเงินแบบกระชับหรือแพลตฟอร์มการเก็บข้อมูลแบบกระจายตัวในอนาคต? คำตอบอาจอยู่ที่การโต้เถียงในชุมชนและการทดสอบแนวทางการใช้งานที่หลากหลายในเวลาต่อไป
Reference : Bitcoin News