ทราบกันไหมว่าเงินที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา อย่างเช่นที่ใช้ในการจับจ่ายใช้สอย เงินเดือน ดอกเบี้ย ค่าเช่า ไม่ได้มีความสำคัญแค่ว่าเป็น ธนบัตร เหรียญ ตัวเลขในบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่เงินยังมีความหมายสำคัญในระดับการขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ พัฒนาการของมนุษยชาติตั้งแต่อดีตกาล ถ้าเราเข้าใจเงินจริงๆ เราจะมองโลกในมุมมองที่เปลี่ยนไป

   โลกที่ขับเคลื่อนด้วยเงินตราที่ทุกชีวิตจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดำรงชีพ เงินเปรียบเสมือนนวัตกรรมที่ทำให้มนุษย์เก็บมูลค่าจากงานที่เราทำ มาเก็บไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน สามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งของหรือบริการอื่น เป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อทุกชีวิตเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงกันข้ามผ่านทวีปและกาลเวลา และบทความนี้จะมาเล่าถึงแง่มุมของเงินที่มีผลกระทบต่อทุกคนบนโลก แม้แต่คนที่ไม่ใช้เงินก็ยังได้รับผลกระทบ เป็นยังไง เราจะมาเล่าให้ฟัง

ก่อนเกิดเงิน “Barter”

   ยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่เป็นสังคมขนาดใหญ่และมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจไม่มากนัก แต่ละคนต่างทำเกษตรกรรมหาเลี้ยงชีพตัวเอง แต่ละครัวเรือนก็จะมีการนำผลผลิตมาแลกเปลี่ยนกันโดยตรง อย่างเช่นนำแอปเปิ้ลมาแลกองุ่น นำหนังสัตว์มาแลกอาวุธ ซึ่งไม่มีตัวกลางเป็นตัวเงิน หรือการวัดมูลค่าของสิ่งต่างๆอย่างแม่นยำจึงเกิดปัญหาตามมา อย่างเช่น Alice มีแอปเปิ้ลแล้วต้องการนำไปแลกเนื้อไก่กับ bob แต่ Bob ไม่ต้องการแอปเปิ้ล ปัญหานี้เรียกว่า coincident of want ซึ่งปัญหานี้ส่งผลให้เกิดเงินขึ้นมา

Commodity money เงินวัตถุ

   เมื่อสังคมมนุษย์มีขนาดใหญ่ขึ้น ผลผลิตหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าในรูปแบบ barter ก็มีหลากหลายขึ้น แต่จะมีวัตถุดิบไม่กี่อย่างที่จะมีความต้องการอยู่เสมอ อย่างเช่น เมล็ดข้าว เมล็ดพันธุ์พืช เมล็ดกาแฟ หรือโลหะมีค่าอย่างเช่น ทอง เงิน ซึ่งวัตถุดิบพวกนี้ก็ได้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนและวัดมูลค่ากับวัตถุดิบอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ผลผลิตข้าวของเรา 1 ไร่ มีมูลค่าเท่ากับ 1 เหรียญทอง ซึ่งเราสามารถนำข้าวไปขายเพื่อนำเหรียญทองมาเก็บไว้ได้ และนำทองที่เรามีไปซื้อสินค้าที่ต้องการในอนาคต

   ซึ่งการเกิดขึ้นของเงินชนิดนี้เป็นเหมือนวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของมนุษย์ เพราะเราสามารถเก็บรักษามูลค่าจากงานที่เราทำมาไว้ในวัตถุที่มีความคงทน ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราจับปลาได้ เราเก็บรักษาไว้ได้ไม่นานก็เน่าเสียแต่ถ้าเรานำไปขายเป็นเงิน หรือเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งเก็บรักษาได้นาน เราก็สามารถรักษามูลค่าไว้ได้ และสามารถนำมูลค่าที่เก็บสะสมไว้มาแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายมากขึ้น เพราะเราสามารถนับหน่วยได้ เช่น น้ำหนักของข้าว น้ำหนักของทอง ซึ่งสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

   ถ้าในการซื้อขายระดับเล็กๆการใช้เงินในรูปแบบวัตถุก็สามารถใช้งานได้ดี แต่ถ้าเป็นการซื้อขายระดับใหญ่ที่มีมูลค่าเยอะๆการใช้เงินประเภทนี้จะมีปัญหาในการเคลื่อนย้าย เช่นจะซื้อบ้าน 1 หลังถ้าใช้เหรียญเงินในการซื้อก็ต้องใช้เหรียญเงินหลายสิบกิโลในการซื้อ ซึ่งมีจุดอ่อนในด้านการขนย้ายและด้านความปลอดภัยที่อาจถูกปล้นหรือสูญหายได้ จึงเกิดเป็นเงินอีกชนิดที่เป็นเหมือนตั๋วแทนโลหะมีค่าหรือวัตถุดิบที่เรามี

Representative money บัตรแทนเงิน

   เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยและปัญหาด้านการเก็บรักษา จึงได้เกิดวิธีการนำวัตถุดิบหรือโลหะมีค่าไปเก็บรักษาไว้ในโกดัง แล้วทำการสร้างตั๋วฝากวางแทน ซึ่งเจ้าของวัตถุต้องมีตั๋วเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของวัตถุดิบหรือโลหะนั้นๆ ซึ่งสามารถนำมาแลกคืน หรือนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นได้เพียงแค่เราต้องพกตั๋วติดตัว ไม่จำเป็นต้องพกวัตถุดิบที่เรามี ซึ่งสร้างความพัฒนาของเศรษฐกิจไปอีกขั้นและวิธีนี้เองก็เป็นรากฐานของ Gold standard หรือมาตรฐานทองคำ หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินว่าเวลาประเทศไหนจะพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาจะต้องนำทองคำมูลค่าเท่ากันมาค้ำไว้นั่นเอง

Fiat Money เงินตรา

   เงินที่รัฐกำหนดให้สามารถใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกกฎหมาย โดยที่เงินประเภทนี้จะไม่มีมูลค่าในตัวเอง ไม่มีทองค้ำหรือสิ่งของมีค่ามาค้ำไว้ หรือจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้เงินประเภทนี้มีค่าคือความมั่นคงของรัฐบาลที่ใช้นั่นเอง ถ้ารัฐล่มสลายเงินก็เป็นแค่เศษกระดาษ แล้วเงินประเภทนี้ก็มีความสามารถที่จะพิมพ์มาใช้เท่าใดก็ได้ ซึ่งการพิมพ์เงินออกมาก็มีผลเสีย ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นภาวะที่ข้าวของแพงขึ้น เช่น เงินที่มีซื้อของได้น้อยลง จาก 10 ปีที่แล้วข้าวจานละ 30 ผ่านมาปีนี้ข้าวจานละ 50 เป็นต้น ซึ่งปัญหาการพิมพ์เงินมาใช้ของรัฐนี้ก็เป็นข้อถกเถียงกัน ผู้มีอำนาจก็มองว่าทำให้รัฐมีอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยการปรับลดเพิ่มอัตราดอกเบี้ย สามารถลดทอนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ด้วยการพิมพ์เงินและมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทางประชาชนก็มองว่าการพิมพ์เงินมานั้นทำให้มูลค่าเงินที่อยู่ในมือประชาชนลดน้อยลงด้วยภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ได้เกิดเงินรูปแบบหนึ่งที่บอกว่าจะมาแก้ปัญหาการพิมพ์เงินและการผูกขาดอำนาจเงินของรัฐเรียกว่า ” Bitcoin”

Bitcoin

   สกุลเงินดิจิทัลที่พยายามเข้ามาแก้ปัญหาการพิมพ์เงินที่ไม่จำกัดของรัฐ เป็นเงินที่ไม่ต้องให้บุคคลที่ 3 มารับรองมูลค่าของเงิน บิตคอยน์ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้การตรวจสอบฉันทามติ Proof of Work ซึ่งสามารถป้องกันการปลอมแปลงบิตคอยน์ได้ และบิตคอยน์ยังมีจุดเด่นคือมีจำนวนที่จำกัดที่ 21 ล้านเหรียญซึ่งส่วนนี้ก็จะสามารถป้องกันการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน หรือป้องกันการเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมีบางคนเปรียบเปรยบิตคอยน์ว่าเป็นทองคำดิจิทัล เพราะมีจำนวนที่จำกัด ต้องใช้ต้นทุนในการหา มีมูลค่าในตัวเอง ยากต่อการทำลายนั่นเอง

Reference

https://academy.binance.com/en/articles/what-is-money