Michael J. Saylor เป็นผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบริษัท MicroStrategy ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล (Business Intelligence) แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในระดับโลกคือการเป็นผู้สนับสนุน Bitcoin อย่างแข็งแกร่ง
Saylor เกิดที่เมืองลินคอล์น รัฐเนแบรสกา และได้รับทุน Air Force ROTC เพื่อศึกษาที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) โดยเขาจบการศึกษาด้วยปริญญา 2 ใบในสาขาวิชาการบินและวิศวกรรมอวกาศ
มุมมองของ Michael Saylor ต่อ Bitcoin
Saylor มองว่า Bitcoin คือทรัพย์สินขั้นสูงสุดของมนุษยชาติ เพราะมันมีคุณสมบัติในการรักษามูลค่าและป้องกันเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำและทรัพย์สินอื่นๆ เขาเชื่อว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและเคลื่อนย้ายได้ง่ายที่สุด และมองว่า Bitcoin คือ “Digital Gold” ที่สามารถปกป้องความมั่งคั่งจากการพิมพ์เงินและการควบคุมของรัฐบาล
MicroStrategy คืออะไร?
MicroStrategy ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 โดย Michael Saylor และ Sanju Bansal บริษัทนี้เริ่มต้นจากการพัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล (BI) ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางสู่การลงทุนใน Bitcoin ในภายหลัง
MicroStrategy เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในปี 1998 ภายใต้ชื่อย่อ MSTR
MicroStrategy และการลงทุนใน Bitcoin
ในปี 2020 Michael Saylor สร้างกระแสครั้งใหญ่ในแวดวงคริปโต เมื่อเขาตัดสินใจให้ MicroStrategy ซื้อ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง (Treasury Reserve Asset)
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก Saylor กังวลว่า เงินสดจะสูญเสียมูลค่าเพราะเงินเฟ้อ ดังนั้นเขาจึงหันไปหา Bitcoin เป็นตัวเก็บมูลค่า
สิงหาคม 2020 MicroStrategy ได้ซื้อ Bitcoin ครั้งแรกมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ นับจากนั้น บริษัทได้ซื้อ Bitcoin เพิ่มเรื่อยๆ จนถึง พฤศจิกายน 2024 MicroStrategy ถือครอง Bitcoin มากถึง 331,200 BTC คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 32.5 พันล้านดอลลาร์
Saylor ใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือการทยอยซื้อ Bitcoin เป็นระยะ เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุมต้นทุน
กลยุทธ์การใช้หนี้เพื่อซื้อ Bitcoin
สิ่งที่ทำให้ MicroStrategy แตกต่างจากบริษัทอื่นคือการใช้หนี้เพื่อซื้อ Bitcoin โดย Saylor ออกพันธบัตรแปลงสภาพ (Convertible Notes) เพื่อนำเงินมาซื้อ Bitcoin
- ปลายปี 2020: ระดมทุนได้ 650 ล้านดอลลาร์ และนำไปซื้อ Bitcoin
- ปี 2021: ระดมทุนเพิ่มอีก 500 ล้านดอลลาร์
- ตุลาคม 2024: ประกาศแผนระดมทุน 42 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปซื้อ Bitcoin ในอีก 3 ปีข้างหน้า
- พฤศจิกายน 2024: ปิดการขายพันธบัตรแปลงสภาพ (Convertible Senior Notes) มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ที่จะครบกำหนดในปี 2029
Saylor อธิบายว่า การใช้หนี้เพื่อซื้อ Bitcoin นั้นเสี่ยงมาก แต่เขามองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความขาดแคลนที่สุดในโลก และเปรียบเสมือน “ที่ดินดิจิทัล” ที่สามารถเก็บมูลค่าได้ในระยะยาว
ความเสี่ยงและผลตอบแทน
กลยุทธ์การใช้หนี้เพื่อซื้อ Bitcoin ของ Saylor ทำให้ MicroStrategy สามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลในช่วงตลาดขาขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เสี่ยงอย่างมากเมื่อราคาของ Bitcoin ตกลง
ในปี 2022: Bitcoin ร่วงลงอย่างหนัก จนเกิดความกังวลว่า MicroStrategy จะต้องเผชิญกับ Margin Call จากหนี้สิน อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถประคองตัวได้และยังคงถือครอง Bitcoin ต่อไป
ผลกระทบจากการลงทุนใน Bitcoin ของ Saylor
การเปลี่ยนแปลงในตลาดสถาบัน
Saylor เป็นผู้บุกเบิกแนวคิด การถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองสำหรับบริษัท เขาเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่นๆ เช่น Tesla, Square หันมาลงทุนใน Bitcoin
ผลกระทบต่อตลาดคริปโต
การซื้อ Bitcoin ครั้งละจำนวนมากของ MicroStrategy ทำให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวและราคาพุ่งสูงขึ้นในบางช่วง นักลงทุนสถาบันเริ่มเห็น Bitcoin เป็นสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) ที่สามารถเก็บมูลค่าได้
มูลค่าทรัพย์สินและความมั่งคั่งของ Michael Saylor
พฤศจิกายน 2024: มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Saylor อยู่ที่ มากกว่า 11 พันล้านดอลลาร์ หุ้นของ MicroStrategy (MSTR) พุ่งขึ้นกว่า 450% ในปี 2024 เนื่องจากการลงทุนใน Bitcoin
สรุป
Michael Saylor คือผู้ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Bitcoin จากสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็นการเก็งกำไร ไปสู่การเป็นสินทรัพย์สำรองระดับองค์กร ผ่านการตัดสินใจนำเงินสดของบริษัทไปซื้อ Bitcoin ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน
นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้นำในแนวคิดการใช้หนี้เพื่อซื้อ Bitcoin ซึ่งเสี่ยงสูงแต่ก็มาพร้อมกับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนมหาศาล ในขณะที่ Bitcoin ยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือกสำหรับการป้องกันเงินเฟ้อ
ไม่ว่าจะมองว่าเขาเป็นผู้บุกเบิกทางการเงิน หรือนักเสี่ยงโชค Michael Saylor ก็ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการยอมรับ Bitcoin ในระดับโลกอย่างชัดเจน
Reference : Binance Academy
