เเรงขุดไม่ได้ตก เเต่ทำไมขุดได้น้อยลง?
ท่านนักขุดเคยสงสัยกันไหมว่าเเรงขุดไม่ได้ตก เเต่ทำไมขุดเเล้วได้ผลตอบเเทนน้อยลง? สาเหตุมาจาก Difficulty นั่นเอง Difficulty ถ้าให้เเปลเป็นไทยก็คือความยากในการขุด ซึ่งมันก็คือระดับความยากของการขุดเหรียญให้พบนั่นเอง ที่นักขุดขุดได้น้อยลงทั้งที่เเรงขุดไม่ได้ตกก็เป็นเพราะ Difficulty เพิ่มมากขึ้น
เเล้วทำไมค่า Difficulty ถึงเพิ่มขึ้น ?
ถ้าผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับระบบบล็อกเชนเเล้วก็จะทราบว่าระบบบล็อกเชนมีการตรวจสอบความถูกต้องด้วย Proof of work ซึ่งก็คือการใช้กำลังขุด ( กำลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์) มาทำการเเก้สมการที่อัลกอริทึมของระบบสร้างขึ้นมานั่นเอง ซึ่งผู้ขุดจะต้องทำการเเข่งกันประมวลผล เมื่อมีผู้ขุดคนไหนที่ทำการเเก้สมการได้ก่อนก็จะได้ผลตอบเเทนไปคนเดียว โดยความเร็วในการเเก้ขึ้นอยู่กับเเรงขุดยิ่งเเรงขุดมากก็เเก้ได้เร็ว ซึ่งมันก็มีปัญหาตามมา เพราะว่าคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาขึ้นทุกวัน ถ้าคอมพิวเตอร์ประมวลผลเร็วขึ้นเรื่อยๆเหรียญก็ถูกขุดพบได้มากขึ้นเเละง่ายดายด้วยเช่นกัน ซึ่งซาโตชิผู้ริเริ่มสร้างบิตคอยน์ก็มีวิสัยทัศน์เเละเเก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเพิ่มความยากในการเเก้สมการมากขึ้นให้เหมาะสมกับกำลังขุด กล่าวคือเมื่อมีกำลังขุดในระบบสูง ค่า Difficulty ก็จะสูงด้วยเช่นกัน โดยทำการตั้งความยากไว้ให้ขุดพบ 1 บล็อคในระยะเวลาประมาณ 10 นาที โดยเราสามารถดูระยะเวลาในการขุดเเต่ละบล็อกเเละเวลาในการปรับรวมถึงคาดการณ์ค่า Difficulty ครั้งต่อไปได้ที่ https://btc.com/stats/diff
ค่า Difficulty ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 27.146 t
เเล้ว Difficulty จะเปลี่ยนตอนไหน ?
จะเปลี่ยนเมื่อขุดได้ 2016 บล็อกหรือระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ โดยกำลังขุดที่นำมาคำนวณปรับค่าความยากมา
จากกำลังขุดทั้งหมดบนโลก สามารถดูกำลังขุดทั้งหมดในขณะนี้ได้ที่ https://www.blockchain.com/charts/hash-rate
กำลังขุดทั้งหมดตอนนี้มีประมาณ 208.4 EH/s
วิธีเเก้ปัญหาเมื่อค่า Difficulty เพิ่มขึ้น
หลังจากทราบสาเหตุที่ขุดได้น้อยลงทั้งที่เเรงขุดไม่ตกเเละทำความรู้จักค่า Difficulty ไปเเล้วคงทราบเเล้วว่าไม่มีวิธีเเก้ปัญหาเมื่อค่า Difficulty เพิ่มขึ้นเพราะค่า Diff จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตราบใดที่กำลังขุดทั้งหมดยังเพิ่ม ทีนี้นักขุดต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเเละผลตอบเเทนให้เหมาะสมเมื่อรู้ว่าค่า Difficulty จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเเบบนี้