The Merge คืออะไร
The Merge คือการผสานรวมกันระหว่างเครือข่ายหลักของ Ethereum ที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันกับ Beacon Chain โครงข่ายบล็อกเชนที่ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof of stake เพื่อให้ได้ Ethereum รูปแบบใหม่ที่ใช้ระบบ Proof of stake (POS)
ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลง Ethereum ให้แตกต่างจากเดิม จากเดิมที่ต้องใช้กำลังประมวลผลจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น GPU, ASIC มาเพื่อปกป้องและตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมบนเครือข่าย หรือที่เราเรียกว่า”การขุด” ซึ่งมีข้อครหาอันคุ้นเคยที่ว่า “ใช้พลังงานสิ้นเปลือง” เพราะเครื่องขุดพวกนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างสูง และจำนวนเครื่องขุดในโลกก็มีจำนวนมหาศาล
ซึ่ง Ethereum จะเปลี่ยนมาใช้ระบบป้องกันและตรวจสอบธุรกรรมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Proof of stake ซึ่งหลักการคือ คนที่จะมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย จะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเครือข่ายเท่านั้น ด้วยการนำเงินมาวางไว้ในระบบ ถ้ามีการทุจริตขึ้นมา ผู้ตรวจสอบธุรกรรมที่มีเงินวางไว้อยู่ก็จะสูญเสียเงินนั้นไป ซึ่งเป็นการตัดแรงจูงใจในการทุจริตของผู้ตรวจสอบไป และการนำเงินมาวางหรือที่เรียกกันว่า Staking ก็จะได้รับเงินรางวัล ถ้าเราได้เป็นผู้ตรวจสอบและบันทึกธุรกรรม คล้ายๆกับการให้เงินรางวัลของการขุดแบบเก่า
Ethereum จะเปลี่ยนไปใช้ POS ตอนไหน?
การเปลี่ยนแปลงของ Ethereum คาดการณ์ว่าจะอยู่ประมาณวันที่ 15-16 กันยายน โดยการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจุดที่ Total Terminal Difficulty (TTD) เท่ากับ 58750000000000000000000
TTD คือค่า Difficulty รวม ตั้งแต่บล็อกเริ่มแรกจนถึงบล็อกปัจจุบัน เมื่อ TTD ถึงตามค่าด้านบนก็จะทำให้เกิดการรวมตัวกันของเชน(จะถึงประมาณวันที่ 15-16) และนั่นคือบล็อกสุดท้ายของการเป็น Proof of work บล็อกต่อไปหลังจากนี้จะเปลี่ยนเป็น Proof of stake
แล้ว Difficulty Bomb จะถูกปล่อยออกมาทำให้ค่า Difficulty สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเครื่องขุดไม่สามารถขุด ETH ได้อีกต่อไป
*ค่า Difficulty คือตัวเลขที่แสดงถึงระดับความยากในการขุดพบเหรียญ ซึ่งค่านี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อกำลังประมวลผลทั้งหมดในเครือข่ายสูงขึ้น และจะลดลงเมื่อกำลังประมวลผลทั้งหมดในเครือข่ายลดลง*
ทำไมถึงต้องเปลี่ยนแปลง ?
ลดการใช้พลังงานของ Ethereum
ลดการใช้พลังงานไปได้ประมาณ 99.95% ของระบบเดิม โดยทุกวันนี้เครือข่ายที่ใช้ระบบ Proof of work ใช้พลังงานไฟฟ้าราวๆ 6 กิกะวัตต์ ซึ่งหลังจากที่เปลี่ยนเป็น Proof of stake แล้ว เครือข่ายจะใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 0.0025 กิกะวัตต์ หรือน้อยกว่าเดิม 2000 เท่า
ลดอัตราการผลิตเหรียญต่อวันลง
จากเดิมเครือข่ายจะผลิต Ethereum ออกมาประมาณ 15,000 ETH ต่อวันจากการขุด และอีก 1,600 ETH จากการ Stake เมื่อเกิดการรวมกันของเชนแล้วการผลิตเหรียญจะเหลือเพียงส่วนของการ Stake คือ 1,600 ETH ซึ่งน้อยลงกว่าเดิมเกือบ 10 เท่า จึงก่อให้เกิดภาวะการฝืดอย่างรุนแรงจากการผลิตที่ลดลง ทำให้มีโอกาสที่ Ethereum จะเติบโตขึ้นสูงในระยะยาว
แก้ปัญหา DAG size
สำหรับคนที่อยู่ในวงการขุด ETH คงจะรู้จักกับไฟล์ DAG เป็นอย่างดี เพราะมันคือขนาดของไฟล์ที่จะติดตั้งลงบน Memory ของ GPU ถ้า memory ของ GPU เราเล็กกว่าไฟล์นี้ เราจะไม่สามารถขุด ETH ได้ อย่างตอนนี้ไฟล์ DAG มีขนาดประมาณ 5 Gb ดังนั้น GPU ที่มี memory น้อยกว่า 5 Gb จะไม่สามารถขุดได้แล้ว และไฟล์นี้จะเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆทุกบล็อก ถ้า Ethereum ไม่ทำการเปลี่ยนแปลง ต่อไปไฟล์ DAG จะใหญ่มากจน GPU ไม่สามารถขุดได้อีกต่อไป
แล้วเราต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ผู้ถือ Ethereum
ไม่ต้องทำอะไรเพราะทุกกระเป๋าที่มี ETH(POW) อยู่จะได้รับ ETH(POS) เพิ่มเข้ามา ซึ่งเหรียญที่มีมูลค่าจริงๆจะมีแค่ ETH(POS) เพียงเท่านั้น หรือว่าคนที่เก็บไว้ใน Exchange ทาง Exchange จะรองรับการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และจะอัพเดทเหรียญให้เราอัตโนมัติ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
นักขุด Ethereum
เมื่อถึงวันที่ 15-16 กันยายน นักขุดจะไม่สามารถขุด Ethereum ได้อีกต่อไป เพราะ Difficulty bomb จะทำให้ค่า Difficulty สูงจนไม่สามารถขุดได้ แต่ยังมีทางเลือกในการขุดเหรียญอื่นที่ใช้อัลกอริทึมเดียวกันเช่น ETC ที่รองรับการขุดอยู่
Referance :
https://ethereum.org/en/upgrades/merge/
https://www.nicehash.com/countdown/eth-forking-2022-09-15-12-00