ลองนึกภาพ “คลังเงินสด” ของบริษัทเหมือนกระปุกออมสินที่ใช้จ่ายค่าใช้จ่ายประจำ จ่ายหนี้ หรือเตรียมไว้ลงทุนในโครงการใหม่ๆ ในยุคที่เงินสดอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป บริษัทจำนวนมากจึงเริ่มหันมาใช้ “Bitcoin Treasury Strategy” หรือแผนการบริหารคลังเงินด้วยบิตคอยน์ โดยการนำเงินบางส่วนไปถือครอง BTC แทนที่จะเก็บไว้ในรูปเงินสด พันธบัตร หรือกองทุนเหมือนแต่ก่อน
บริษัทใหญ่อย่าง Strategy (ชื่อใหม่ของ MicroStrategy), Tesla และ GameStop ต่างเริ่มเข้าร่วมกระแสนี้ โดย Strategy เพียงเจ้าเดียวถือครองมากถึง 576,230 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 61,000 ล้านดอลลาร์ ณ พฤษภาคม 2025
ทำไมบริษัทถึงใช้ Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของคลังสำรอง
แต่ละบริษัทมีเหตุผลต่างกัน แต่ทั้งหมดมองเห็นโอกาสเดียวกัน ทั้งในแง่ของสภาพคล่อง การป้องกันความเสี่ยง และศักยภาพการเติบโต
สภาพคล่องและความยืดหยุ่น
บิตคอยน์สามารถเทรดได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด และสามารถใช้โอนได้ทั่วโลกแบบไร้พรมแดน โดยเฉพาะบริษัทที่มีสาขาทั่วโลก การถือครอง BTC จึงช่วยลดความยุ่งยากของการโอนเงินข้ามประเทศ
ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
บิตคอยน์มีจำนวนจำกัด 21 ล้านเหรียญทั่วโลก ไม่มีใครเพิ่มได้ ต่างจากเงินสดที่ถูกพิมพ์เพิ่มได้เรื่อยๆ จึงกลายเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่หลายบริษัทเชื่อว่าจะรักษามูลค่าได้ในระยะยาว
กระจายความเสี่ยง
การถือ BTC คือทางเลือกในการขยับพอร์ตคลังเงินให้พ้นจากสินทรัพย์ดอกเบี้ยต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือเงินสด โดยเฉพาะเมื่อดูจากการเติบโตของราคาบิตคอยน์ในอดีต ถึงแม้จะผันผวน แต่ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว
ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่
เมื่อบริษัทมีบิตคอยน์อยู่ในมือ ก็สามารถออกตราสารทางการเงินที่อิงกับ BTC ได้ เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพหรือหุ้นที่อิงมูลค่ากับคริปโต ซึ่งเปิดประตูให้นักลงทุนสาย traditional เข้าถึงคริปโตได้โดยไม่ต้องถือเหรียญเอง
แล้วกระบวนการทำ Bitcoin Treasury Strategy เป็นอย่างไร?
วางแผนก่อนลงทุน
เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง เงินสดในมือ และเป้าหมายระยะยาว บางบริษัทอาจจัดสรรเงินจำนวนมาก เช่น Strategy แต่บางเจ้าก็ถือเพียงเล็กน้อย เช่น Tesla
ซื้อบิตคอยน์
ใช้เงินสด กู้เงิน หรือระดมทุนผ่านตลาดทุน เช่นกรณี GameStop ที่ออกหุ้นกู้ในมีนาคม 2025 เพื่อระดมทุนซื้อ BTC จนราคาหุ้นพุ่งแรงเพราะนักลงทุนตอบรับดี
เก็บรักษาให้ปลอดภัย
เพราะ BTC ไม่มีตัวกลางดูแล ความปลอดภัยจึงสำคัญที่สุด บริษัทส่วนใหญ่จะใช้ผู้ดูแลสินทรัพย์ระดับสถาบัน เช่น Coinbase Custody หรือ Anchorage เพื่อป้องกันการถูกแฮ็กหรือฉ้อโกง
สร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
เมื่อถือบิตคอยน์แล้ว บริษัทสามารถสร้างผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ เช่น หุ้นกู้แบบมีผลตอบแทนตาม BTC เพื่อดึงดูดนักลงทุนโดยไม่ต้องเปลี่ยนธุรกิจหลัก
ต้องตามกฎหมายให้ทัน
ข้อกำหนดด้านบัญชีและภาษียังเปลี่ยนแปลงตลอด บริษัทต้องปรับตัวและใช้บัญชีแบบ mark-to-market เพื่อให้มูลค่า BTC ในงบการเงินสะท้อนความจริงที่สุด
ความเสี่ยงที่ต้องรู้
ราคาผันผวน: อาจส่งผลต่อกำไรขาดทุนในงบการเงิน และความสามารถในการใช้เงินในระยะสั้น
ความปลอดภัย: ต้องลงทุนด้านระบบเก็บรักษาให้แน่นหนา
เบี่ยงเบนจากธุรกิจหลัก: ถ้าบริษัทโฟกัส BTC มากเกินไป อาจทำให้ธุรกิจหลักถูกมองข้าม
ตัวอย่างบริษัทที่ถือบิตคอยน์ในคลัง
Strategy (MSTR): เดิมเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ เปลี่ยนตัวเองมาเป็นบริษัทที่ถือบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์หลัก ถือ 576,230 BTC มูลค่ากว่า $63,000 ล้าน
Marathon Digital (MARA): เหมืองขุดบิตคอยน์ระดับสถาบัน ถือ 48,100 BTC
Riot Platforms (RIOT): อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานและขุดคริปโต ถือ 19,200 BTC
Tesla (TSLA): ถือบิตคอยน์ในสัดส่วนเล็กกว่าธุรกิจหลัก อยู่ที่ 11,509 BTC
Reference : Binance Academy