บิตคอยน์ (BTC) ทะยานทะลุแนวต้าน $100,000 ในเช้าวันพฤหัสบดี หลังจากยอดการไหลเข้าของกองทุน ETF บิตคอยน์สะสมสุทธิพุ่งแตะ $40.72 พันล้าน ตามข้อมูลจาก sosovalue.com ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา


การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในกองทุน ETF เท่านั้น เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บริษัท Metaplanet ของญี่ปุ่นประกาศเข้าซื้อ 555 BTC ส่งผลให้ยอดถือครองรวมพุ่งเป็น 5,555 BTC โดยบริษัทมีเป้าหมายสะสมให้ได้ 21,000 BTC ภายในสิ้นปีหน้า ขณะเดียวกัน Strategy บริษัทของ Michael Saylor ประกาศซื้อเพิ่มเมื่อสิ้นเดือนเมษายน ส่งผลให้ยอดถือครองรวมของบริษัทพุ่งแตะ 555,450 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า $56 พันล้าน

ในฝั่งสหรัฐฯ New Hampshire กลายเป็นรัฐแรกที่ประกาศตั้งคลังบิตคอยน์สำรอง เมื่อวันอังคาร และในวันถัดมา Arizona ก็เดินตามรอย เช่นเดียวกับ Strive Asset Management ซึ่งก่อตั้งโดย Vivek Ramaswamy อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เปิดตัวแผนจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์บิตคอยน์ที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้

Geoffrey Kendrick หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของ Standard Chartered Bank กล่าวในบันทึกถึงลูกค้าว่า

“เรื่องราวของบิตคอยน์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ตอนนี้ทุกอย่างคือการไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งมีหลายรูปแบบและมาจากหลายทิศทาง”

ภาพรวมตลาดบิตคอยน์

บิตคอยน์ซื้อขายในกรอบ $95,829.33 ถึง $101,517.39 โดยล่าสุดราคาอยู่ที่ $101,167.65 เพิ่มขึ้น 4.66% ใน 24 ชั่วโมง และ 3.91% ในรอบสัปดาห์ ตามข้อมูลจาก Coinmarketcap การพุ่งขึ้นของราคาเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบัน แม้จะเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก

การพุ่งขึ้นของราคา BTC ยังมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น 41.12% แตะ $62.38 พันล้าน ขณะที่มูลค่าตลาดรวมของบิตคอยน์ทะยานขึ้น 4.56% แตะ $2 ล้านล้าน ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญทั้งในแง่จิตวิทยาและโครงสร้างตลาด

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการครองตลาด (dominance) ของบิตคอยน์กลับลดลง 0.91 จุด มาอยู่ที่ 64.77% ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการหมุนเงินทุนบางส่วนเข้าสู่เหรียญทางเลือก (altcoins)

ความเคลื่อนไหวในตลาดฟิวเจอร์ส

ตลาดฟิวเจอร์สก็ตอบสนองต่อการพุ่งขึ้นของ BTC ด้วยปริมาณการเปิดสัญญา (open interest) ที่เพิ่มขึ้น 6.39% แตะ $68.88 พันล้าน ซึ่งสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของการใช้เลเวอเรจและการเก็งกำไร

แม้ราคาจะพุ่งขึ้น แต่ข้อมูลจาก Coinglass แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนฝั่ง Long ต้องรับแรงกระแทกอย่างหนัก โดยยอดการล้างพอร์ต (liquidation) ทั้งหมดใน 24 ชั่วโมงอยู่ที่ $2.47 ล้าน โดยฝั่ง Long ถูกล้างพอร์ตไป $1.55 ล้าน ขณะที่ฝั่ง Short อยู่ที่ $915,160 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเก็งกำไรที่เกินพอดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

Kendrick จาก Standard Chartered กล่าวทิ้งท้ายว่า

“ผมเชื่อว่าเรากำลังจะได้เห็นจุดสูงสุดใหม่สำหรับบิตคอยน์ในเร็วๆ นี้ ผมต้องขออภัยที่เป้าหมาย $120K ในไตรมาสที่ 2 ของผมอาจจะต่ำเกินไป”

Reference : Bitcoin News