ภาษีศุลกากร (Tariffs) คือภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้านำเข้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น

ในระยะสั้น ภาษีศุลกากรอาจสร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาด หากมีการประกาศใช้นโยบายภาษีอย่างกะทันหัน นักลงทุนอาจรีบเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและคริปโต ส่งผลให้ราคาลดลง

สำหรับนักขุดคริปโต ภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้า เช่น ฮาร์ดแวร์การขุดและชิปเซมิคอนดักเตอร์ อาจทำให้ต้นทุนการดำเนินการสูงขึ้น

ในระยะกลางและระยะยาว หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและค่าเงินอ่อนตัวลง คริปโต โดยเฉพาะบิตคอยน์ อาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของมูลค่าเงินตรา

ภาษีศุลกากรคืออะไร?

ภาษีศุลกากร คือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าและบริการ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สร้างรายได้ให้กับรัฐบาล หรือใช้เป็นมาตรการตอบโต้ทางการค้า

แม้ภาษีศุลกากรจะช่วยให้บางอุตสาหกรรมได้เปรียบ แต่ก็อาจนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ในโลกเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก ภาษีศุลกากรไม่เพียงกระทบเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ยังส่งผลไปถึงตลาดการเงิน สกุลเงิน และสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโตเคอเรนซีด้วย

บทบาทของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ในการค้าโลก

สหรัฐฯ ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือทางการค้าบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้กำหนดภาษีศุลกากรสูงกับสินค้าจากจีน สหภาพยุโรป และแคนาดา

ในปี 2025 มาตรการภาษี “Liberation Day” ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดข้อพิพาททางการค้ากับหลายประเทศ ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิต เทคโนโลยี และเกษตรกรรม

แม้คริปโตจะไม่ใช่สินค้าส่งออกนำเข้าแบบดั้งเดิม แต่ตลาดคริปโตเองก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนี้เช่นกัน

ผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อตลาดคริปโต

ความเชื่อมั่นนักลงทุนและความผันผวนของตลาด

การประกาศใช้ภาษีศุลกากรอาจสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงออกไป เช่น หุ้นและคริปโต

ตัวอย่างเช่น ในปี 2025 หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีน บิตคอยน์ร่วงลงอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากการเพิ่มความเสี่ยงในตลาด

เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และราคาคริปโต

การเก็บภาษีศุลกากรสูงอาจทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคและภาคธุรกิจอาจต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ย การขึ้นดอกเบี้ยทำให้การกู้ยืมเงินแพงขึ้น ส่งผลให้เงินทุนในตลาดคริปโตลดลง

อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อพุ่งสูงและเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนบางส่วนอาจหันมาถือครองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงแทน

ต้นทุนการขุดคริปโตอาจเพิ่มขึ้น

การขุดคริปโตต้องใช้ฮาร์ดแวร์นำเข้า เช่น ASIC และ GPU ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในจีน หากสหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรสูงกับสินค้านำเข้าจากจีน ต้นทุนการขุดจะเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ หากภาษีศุลกากรครอบคลุมถึงชิปเซมิคอนดักเตอร์ด้วย นักขุดอาจต้องหันไปพึ่งผู้ผลิตจากประเทศอื่นหรือย้ายฐานการขุดไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า

การอ่อนค่าของสกุลเงินและการยอมรับคริปโต

ในบางกรณี การทำสงครามการค้าและภาษีศุลกากรอาจทำให้สกุลเงินประจำชาติเสื่อมค่า ซึ่งจะทำให้คริปโตเคอเรนซีดูน่าสนใจมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่อาร์เจนตินาและตุรกีเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและค่าเงินอ่อนตัว การยอมรับคริปโตในประเทศเหล่านี้ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นำไปสู่การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ อัตราการยอมรับคริปโตในบางประเทศอาจเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว

บทสรุป: บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือสินทรัพย์เสี่ยง?

ในช่วงที่ตลาดผันผวนจากภาษีศุลกากร บางนักลงทุนมองบิตคอยน์เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” เช่นเดียวกับทองคำ ในขณะที่บางส่วนมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

โดยทั่วไป บิตคอยน์มีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวคล้ายกับตลาดหุ้น เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บิตคอยน์มักร่วงลงพร้อมกับตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ลง นักลงทุนอาจมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาล หรือเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน

ดังนั้น ในระยะยาว หากบิตคอยน์ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคง เช่นเดียวกับทองคำ หรือเป็น “ทองคำดิจิทัล” ก็อาจช่วยเสริมให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและมีมาตรการภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น

Reference : Binance Academy