จากข้อมูลล่าสุดของ Arkham Intelligence ณ สิ้นเดือนเมษายน 2025 ประเทศภูฏาน ซึ่งเคยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ถือครองบิตคอยน์มากเป็นอันดับ 4 ของโลก ได้ลดปริมาณ BTC ในความครอบครองลงอย่างมีนัยสำคัญ
ภายในช่วงเวลาเพียง 40 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมจนถึงต้นพฤษภาคม จำนวนบิตคอยน์ที่ถืออยู่ได้ลดลงจาก 10,070 BTC เหลือเพียง 7,486 BTC หรือหายไปราว 2,584 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 720 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามราคาตลาดล่าสุด
โดยเหรียญทั้งหมดที่ถูกย้ายออกไป ได้ถูกส่งไปยังวอลเล็ตนิรนามหลายแห่ง ทำให้ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าถูกขายให้กับใคร หรือเข้าสู่ตลาดผ่านช่องทางใด
จุดที่น่าสนใจคือ ประเทศภูฏานไม่ได้ใช้แนวทางเดียวกับประเทศอื่นที่ซื้อบิตคอยน์ผ่านตลาดเปิดหรือเป็นการลงทุนผ่านคลังของรัฐ แต่กลับถือครอง BTC ที่ขุดได้เองทั้งหมดจากการทำเหมือง
โดยดำเนินการผ่าน DHI (Druk Holding and Investments) ซึ่งเป็นบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของและทำหน้าที่ดูแลสินทรัพย์ทั้งหมดของประเทศ หลายฝ่ายมองว่าการปล่อยเหรียญออกมาในรอบนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนระดมทุนเพื่อนำไปขยายกิจการเหมืองเพิ่มเติม หรือไม่ก็เพื่อช่วยเหลือภาคส่วนอื่นของรัฐบาล
ซึ่งก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรี Tshering Tobgay ก็เคยกล่าวไว้ว่า ประเทศได้ใช้เงินจากการขายบิตคอยน์บางส่วนเพื่อนำไปสนับสนุนโครงการด้านสาธารณสุข รวมถึงเป็นทุนสำหรับการปรับปรุงค่าตอบแทนในภาคราชการ
แม้จะมีการลดปริมาณการถือครองลง ภูฏานก็ยังคงถือครอง BTC ในระดับสูงกว่าหลายประเทศที่มีชื่อเสียงในวงการคริปโต โดยเฉพาะเอลซัลวาดอร์ ที่แม้จะมีนโยบายซื้อบิตคอยน์แบบวันละเหรียญอย่างต่อเนื่อง ก็ยังถือครองอยู่ที่ประมาณ 6,166 BTC เท่านั้น
ขณะที่อันดับหนึ่งของโลกยังคงเป็นของสหรัฐฯ ที่มีการถือครองอยู่กว่า 198,000 BTC ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรที่ประมาณ 61,245 BTC และเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะกลุ่ม Lazarus Group ซึ่งถือไว้ประมาณ 8,358 BTC
ในแง่ยุทธศาสตร์การถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ภูฏานอาจกำลังอยู่ในช่วงประเมินทิศทางใหม่ การขาย BTC จำนวนมากในช่วงที่ราคาอยู่ในระดับสูงสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่น่าสนใจ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดคริปโตในช่วงที่ผ่านมา และอาจสื่อถึงการมองเห็นโอกาสในการนำเงินเหล่านั้นไปใช้พัฒนาประเทศในด้านที่เห็นผลชัดเจนมากกว่าการเก็บสะสมระยะยาว
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ภูฏานยังไม่ละทิ้งวงการคริปโต เพียงแต่กำลังปรับพอร์ตให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และนั่นอาจเป็นภาพสะท้อนให้หลายประเทศทั่วโลกต้องกลับมาทบทวนแนวทางการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเช่นกัน
Reference : Bitcoin News