จากรายงานล่าสุดของ Cambridge Centre for Alternative Finance (CCAF) พบว่าสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นศูนย์กลางการขุดบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 75.4% ของกิจกรรมการขุดที่มีการรายงานทั้งหมด หากรวมกับแคนาดา ซึ่งมีสัดส่วน 7.1% จะเท่ากับว่าทวีปอเมริกาเหนือครอบครองส่วนแบ่งมากกว่า 80% ของกิจกรรมการขุดบิทคอยน์ทั่วโลก
จีนถูกลดบทบาท — อเมริกาเหนือขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง
ก่อนหน้านี้จนถึงกลางปี 2021 จีนยังถือเป็นผู้นำด้านการขุดบิทคอยน์อย่างชัดเจน แต่การปราบปรามอย่างเข้มข้นจากรัฐบาลจีนทำให้บริษัทเหมืองหลายแห่งต้องย้ายฐานไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือแม้แต่สหรัฐฯ โดยในรายงานฉบับก่อนหน้านี้ของ Bitcoin.com News ระบุว่า แม้จะถูกกวาดล้างอย่างหนัก แต่บางส่วนของนักขุดยังคงดำเนินกิจกรรมผ่าน VPN เพื่อซ่อนที่ตั้งที่แท้จริง
เป้าหมายหนึ่งของการปราบปรามในจีนคือการมุ่งสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ภายใน 40 ปีตามนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกอบกับแรงกดดันจากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาคเหมืองต้องปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
เหมืองบิทคอยน์ปัจจุบันพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนกว่า 52%
รายงานระบุว่า ส่วนผสมของพลังงานที่นักขุดใช้ในปัจจุบัน มีสัดส่วนพลังงานที่ยั่งยืน (sustainable) อยู่ที่ 52.4% โดยในจำนวนนี้ พลังงานจากน้ำครองส่วนแบ่งใหญ่สุดที่ 23.4% รองลงมาคือ ลม 15.4%, นิวเคลียร์ 9.8%, แสงอาทิตย์ 3.2% และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อีก 0.5%
แม้จะมีแนวโน้มที่ดีในด้านพลังงานสะอาด แต่การบริโภคไฟฟ้ารวมของภาคเหมืองบิทคอยน์ก็ยังเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันใช้ไฟราว 138 เทราวัตต์-ชั่วโมง หรือ 0.54% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งโลก
ต้นทุนการดำเนินงานสูง — ค่าไฟกินไปกว่า 80%
รายงาน CCAF ยังเผยว่าค่าไฟฟ้ากลาง (median) ของนักขุดอยู่ที่ $45 ต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง และต้นทุนรวมอยู่ที่ $55.50 ซึ่งไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของต้นทุนดำเนินงานที่เป็นเงินสดทั้งหมด
ข้อมูลจากแบบสำรวจยังระบุว่า 98% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ ถูกนำไปใช้เพื่อการขุดบิทคอยน์โดยตรง
ถึงจุดเปลี่ยน — การกระจายความเสี่ยงคือทางรอด
CCAF ระบุว่าอุตสาหกรรมเหมืองบิทคอยน์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากไม่เริ่มกระจายธุรกิจ อาจเผชิญกับภาวะถดถอยที่รุนแรงมากขึ้น โดยแนวทางที่เริ่มมีการขยับคือการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมมารองรับงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้มข้น เช่น AI หรือ HPC (High-Performance Computing)
ในขณะเดียวกัน แนวทางพลังงานใหม่ที่น่าจับตาคือ การใช้ก๊าซธรรมชาติจากการเผาไหม้ที่ไร้ประโยชน์ (flared gas), การดึงความร้อนจากกระบวนการกลับมาใช้ใหม่ และการตอบสนองฝั่งดีมานด์ (demand-side response) รวมถึงการทำ “hedging” กับค่า hashprice เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ในอนาคต — คล้ายกับการบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนพลังงานในอุตสาหกรรมทั่วไป
Reference : Bitcoin News