ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ฟังดูเหมือนศัพท์เทคนิคการค้า แต่จริง ๆ แล้วหลักการเข้าใจง่ายมาก คือถ้าประเทศหนึ่งตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าของเรา เราก็เก็บภาษีสินค้าของเขาในอัตราเท่ากัน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน — เป็นกลยุทธ์เชิงกดดันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ เช่น ถ้าเขาเก็บ 20% กับสินค้าของเรา เราก็เก็บ 20% กับสินค้าของเขากลับไป
แนวคิดนี้มีรากฐานมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1930 จากการออกกฎหมาย Reciprocal Trade Agreements Act ของสหรัฐฯ ซึ่งในเวลานั้นมีเป้าหมายเพื่อ “ลด” กำแพงการค้าผ่านข้อตกลงร่วมกัน ไม่ใช่เพื่อเปิดศึกการค้า แต่พอเข้าสู่ยุคปัจจุบัน คำนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมโทนที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในต้นปี 2025 สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เริ่มต้นที่ 10% และไต่ระดับสูงถึง 145% ภายในเวลาไม่นาน ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีของตัวเอง ไล่ตั้งแต่ 34% จนสูงสุดถึง 125% กับสินค้าหลากหลายหมวดหมู่จากสหรัฐฯ
แล้วภาษีตอบโต้ทำงานอย่างไรในเชิงเทคนิค? ไปดูกัน
กลไกการทำงานของภาษีตอบโต้
ในปี 2025 สหรัฐฯ ใช้วิธีคำนวณอัตราภาษีตาม “สัดส่วนขาดดุลการค้า” กับแต่ละประเทศ โดยใช้สูตร:
Tariff rate (%) = (มูลค่าขาดดุล ÷ มูลค่านำเข้า) × 100 ÷ 2
ยกตัวอย่าง:
- นำเข้าจากจีน: 438.9 พันล้านดอลลาร์
- ส่งออกไปจีน: 147 พันล้านดอลลาร์
- ขาดดุลการค้า: 291.9 พันล้านดอลลาร์
คำนวณได้อัตราภาษีประมาณ 33.25% (ซึ่งสหรัฐฯ ปัดขึ้นเป็น 34% เพื่อความชัดเจนทางการเมือง) และที่สำคัญคือ ภาษีใหม่นี้ “ซ้อน” ภาษีเก่า ไม่ได้แทนที่ เช่น ถ้าสินค้าชิ้นหนึ่งมีภาษีเดิม 20% และถูกตั้งภาษีตอบโต้เพิ่ม 34% ตอนนี้ผู้นำเข้าต้องจ่ายภาษีรวม 54% ทันที
ในขณะเดียวกัน จีนเลือกตอบโต้โดย “เจาะจง” เป้าหมาย เช่น สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง หมู วัว รวมถึงการระงับการสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing และชิ้นส่วนอากาศยานจากสหรัฐฯ เพื่อกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองโดยตรง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีตอบโต้
สงครามภาษีแบบตาต่อตาทำให้เศรษฐกิจโลกสะเทือนอย่างหนัก:
- การค้าชะลอตัวทั่วโลก: WTO คาดการณ์ว่าการค้าโลกในปี 2025 จะโตเพียง 0.2% เทียบกับเป้าเดิมที่ 3% โดยสาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบลูกโซ่ที่ตามมา
- ประเทศกำลังพัฒนาถูกบีบ: ประเทศเล็ก ๆ เช่น กัมพูชา ลาว ที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งยอดสั่งซื้อหด งานหาย รายได้ลด
- ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น: ทั้งผู้บริโภคและบริษัทสหรัฐฯ ต้องจ่ายแพงขึ้น ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงของใช้พื้นฐาน
- IMF เตือน: การเติบโตของ GDP โลกอาจลดลงจาก 3.3% เหลือเพียง 2.8% ภายในปี 2025
ผลกระทบต่อวงการคริปโต
แม้คริปโตดูเหมือนอยู่นอกระบบเศรษฐกิจโลก แต่สงครามภาษีก็ส่งผลกระทบไม่น้อย:
- ความผันผวนของตลาด: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 50% กับสินค้าจีนในต้นเดือนเมษายน 2025 ราคาบิตคอยน์ร่วงทันทีไปอยู่ที่ 74,500 ดอลลาร์ และ Ether ดิ่งลงกว่า 20% ก่อนจะฟื้นตัวกลับเหนือ 92,000 ดอลลาร์หลังมีการชะลอภาษี
- ต้นทุนการขุดบิตคอยน์เพิ่มขึ้น: อุปกรณ์ขุดจากจีนและไต้หวันถูกเก็บภาษี 22%-36% ทำให้ต้นทุนของนักขุดในสหรัฐฯ พุ่งสูงโดยเฉพาะกลุ่มขนาดกลางและเล็ก
- เทรนด์การลงทุนเปลี่ยน: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนหันมามองคริปโตเป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยง (hedge) มากขึ้น โดยในไตรมาสแรกปี 2025 มีการไหลเข้าของเงินลงทุนในคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การตั้ง “คลังสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล” (Strategic Crypto Reserve) ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีทั้ง Bitcoin และ Ethereum ตอกย้ำว่าคริปโตไม่ได้เป็นแค่สินทรัพย์ชายขอบอีกต่อไป
กลยุทธ์สำหรับผู้เล่นในวงการคริปโต
สำหรับคนที่อยู่ในวงการนี้ การตั้งรับอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีกลยุทธ์เชิงรุกด้วย:
- กระจายความเสี่ยง: อย่าพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงเจ้าเดียว โดยเฉพาะจากประเทศที่เสี่ยงต่อการโดนภาษี แนะนำให้หาทางจัดซื้อจากหลายประเทศ
- เกาะติดนโยบายการค้าโลก: การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการค้า ภาษี หรือมาตรการคว่ำบาตร สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจคริปโต
- เล่าเรื่องใหม่ให้ถูกจังหวะ: ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังแตกร้าว ความหมายของ “การเงินไร้พรมแดน” และ “สินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ” อย่างคริปโตจะยิ่งทรงพลัง โครงการที่สามารถเล่าเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน จะยิ่งมีโอกาสเติบโต
Reference : Cointelegraph