สภาวุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า Clean Cloud Act of 2025 ซึ่งเสนอให้แก้ไขกฎหมาย Clean Air Act เดิม เพื่อจัดการกับปัญหาการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะในภาคเหมืองขุดคริปโต และ ดาต้าเซ็นเตอร์
ใช้ไฟเกิน 100 กิโลวัตต์ ต้องรายงานทุกปี
ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ทุกสถานประกอบการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 100 กิโลวัตต์ ต้องจัดทำรายงานประจำปี รายงานต้องระบุแหล่งที่มาของพลังงาน ปริมาณการใช้ และความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emissions intensity)
จากข้อมูลในร่างกฎหมายคาดว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ในสหรัฐฯ อาจใช้ไฟสูงถึง 12% ของไฟฟ้าทั้งประเทศ ภายในปี 2028 โดยแรงขับหลักมาจากความต้องการพลังประมวลผลด้าน AI และเหมืองคริปโต ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขระบุว่า แฮชเรตของเครือข่าย Bitcoin ในสหรัฐฯ โตขึ้น 739% ระหว่างปี 2020–2022 ซึ่งทำให้มีการนำโรงไฟฟ้าฟอสซิลกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเพื่อจ่ายไฟให้กับเหมืองเหล่านี้
ตั้งเพดานปล่อยคาร์บอน – เกินโควต้าต้องจ่ายเงิน
ร่างกฎหมายยังเสนอให้ตั้งเพดานการปล่อยคาร์บอนรายภูมิภาคในสหรัฐฯ โดยกำหนดให้ค่านี้ลดลงทุกปีจน เหลือศูนย์ภายในปี 2035
ถ้าโรงไฟฟ้า หรือดาต้าเซ็นเตอร์ใดใช้พลังงานเกินเพดานที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับ เริ่มต้นที่ 20 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป และจะปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี
เงินค่าปรับที่เก็บได้จะถูกนำไปใช้ใน 3 ด้านหลัก:
- สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด
- แจกเงินคืนให้ผู้บริโภค
- ใช้ในการบริหารจัดการโครงการ
สถานที่ที่ใช้พลังงานจากแหล่งปลอดคาร์บอน 100% จะได้รับการยกเว้นจากค่าปรับนี้
ข้อมูลพลังงานต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ
อีกหนึ่งข้อสำคัญในร่างกฎหมายคือ ผู้ประกอบการจะต้องเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานในแต่ละสถานที่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปกป้องข้อมูลที่ถือเป็นความลับเชิงพาณิชย์ด้วย
ร่างกฎหมายนี้ยังถูกส่งเข้าสู่คณะกรรมาธิการวุฒิสภา (ยังไม่เปิดเผยชื่อ) และมีการระบุมาตราการกันเสียทั้งฉบับ (severability clause) ไว้เผื่อกรณีมีบางมาตราถูกตีตกโดยศาล
ภาระของสตาร์ทอัป – กำไรของยักษ์ใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่ามาตรการค่าปรับที่เข้มข้น รวมถึงเส้นตายการปฏิบัติตามกฎหมาย อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะสำหรับสตาร์ทอัปที่ยังไม่มีทรัพยากรมากพอ ซึ่งอาจต้องหันมาเน้นเรื่องกฎระเบียบมากกว่านวัตกรรม ในขณะที่บริษัทใหญ่ที่มีเงินทุนพร้อมจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ง่ายกว่า
Reference : Bitcoin News